
บทสนทนานี้ ใครเรียบเรียงไว้นะ ช่างดีเหลือเกิน
ในห้องเรียน อาจารย์ถามลูกศิษย์ว่า
“ ทำไมเวลาคนโกรธกันแล้ว ต้องตะคอกใส่กันด้วย ”
ห้องเรียนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่นักเรียนคนหนึ่งจะตอบว่า
“ เพราะเราโมโห เราก็เลยเสียงดังครับ ”
“ แต่ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ ในเมื่ออีกคนก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ คุยด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็ได้ยินแล้วนี่ทำไมเราต้องขึ้นเสียงกันด้วย ” อาจารย์ตั้งคำถาม
นักเรียนผลัดกันตอบคำถาม แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่อาจารย์พอใจ อาจารย์จึงเฉลยว่า
“ เวลาคนสองคนโกรธกัน หัวใจสองดวงก็จะห่างกันมากขึ้น เขาเลยต้องตะโกนเพื่อไปให้ถึงหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ”
ห้องเรียนเงียบสงัด ทุกคนรอฟังต่อ ก่อนที่อาจารย์จะเสริมว่า
“ เวลาคนสองคนรักกัน สังเกตซิว่าเขาจะไม่ตะโกนใส่กัน แต่จะคุยกันด้วยเสียงอ่อนโยน เพราะอะไร ก็เพราะ หัวใจของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันไง ”
อาจารย์หยุดไปชั่วครู่ แล้วพูดต่อ
“ แล้วพอสองคนรักกันมากยิ่งขึ้น เสียงพูดกลับยิ่งจะแผ่วเบาจนกลายเป็นเสียงกระซิบ และสุดท้ายเขาไม่จำเป็นต้องกระซิบด้วยซ้ำ แค่มองตาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ”
อาจารย์ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า
“ ดังนั้น คราวหน้าถ้าเธอตะคอกใส่คนที่เธอรัก จงจำไว้ว่าเธอได้สร้างระยะห่างให้หัวใจของเธอกับหัวใจของเขาแล้ว ”
ใช่หรือไม่ว่า เนื้อหาของคำพูดนั้น จะหวานหูอย่างไร หากเปล่งเสียงแบบตะคอกหรือตะโกนพูด จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกได้ทันที ผู้พูดจะมีเจตนาดีอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ผู้ฟังจะเข้าใจไปได้ว่าเป็นถ้อยคำมีโทสะปนเปื้อน
ใช่หรือไม่ว่า หัวใจจะใกล้กัน หรือห่างไกลกัน มีเรื่องระดับความดังของเสียงประกอบท่าทีของคนพูดเป็นมาตรวัดที่สำคัญ /