คนเยอรมันทั้งประเทศเหมือนถูกมนต์สะกดให้นิ่งอยู่ในความสงบสักพักใหญ่ หลังจากคลิพวิดิโอหนึ่งฉายออกอากาศเพียงแค่ 10 วินาที
กล้องจับภาพที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง
ขณะที่พนักงานสับรางรถไฟคนหนึ่ง กำลังเดินไปยังจุดสับรางเพื่อเปิดทางให้รถไฟขบวนหนึ่งที่กำลังแล่นเข้าจอด ณ สถานี ขณะเดียวกันมีรถไฟอีกขบวนหนึ่งกำลังจะแล่นออกจากสถานี การสับรางก็เพื่อให้รถเข้ารถออก หลีกทางให้แก่กันและกัน หากไม่สับราง รถไฟก็จะประสานงากัน
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ด้วยความบังเอิญ เขาเหลียวกลับไปเห็นลูกน้อยของตน นั่งเล่นอยู่บนราง หน้ารถไฟขาเข้าที่กำลังแล่นเข้ามา
เขาชะงักไปนิดหนึ่ง จะวิ่งไปช่วยลูกชายของตน หรือจะวิ่งไปสับรางเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุครั้งประวัติศาสตร์ เขามีเวลาแค่เสี้ยววินาทีเดียว
และแล้ว เขาหันกลับไปตะโกนใส่ลูกน้อยของตนว่า “ หมอบลง ” แล้ววิ่งไปสับรางได้ทันเวลาพอดี รถไฟสองขบวนสวนทางกันอย่างปลอดภัย โดยที่ผู้โดยสารบนรถไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขาเพิ่งรอดชีวิตมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเขาก็ไม่รับรู้ด้วยว่า รถไฟที่เขานั่งอยู่นั้นมีเด็กน้อยคนหนึ่งหมอบราบอยู่กับหมอนรถไฟ โดยเด็กน้อยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย
“ ผมแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคนต้องมาก่อนเสมอ” นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์อย่างถ่อมตนของพนักงานสับรางคนนั้นต่อนักข่าว
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ลูกชายของเขานั้น ความจริงเป็นเด็กมีปัญหาบกพร่องทางสมอง ผู้เป็นพ่อเคยพูดกับลูกน้อยอยู่เสมอว่า “ เมื่อลูกโตขึ้น ลูกคงมีทางเลือกน้อยมากสำหรับงานที่ลูกจะทำได้ ลูกจึงจำเป็นต้องพยายามฝึกฝนงานใดงานหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงให้เก่งที่สุด ”
ลูกน้อยคนนั้น ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อพูด เขายังคงเล่นสนุกๆ แบบเซ่อๆซ่าๆ ไปวันๆ แต่ในวินาทีแห่งชีวิตที่เขารู้จักคำว่า “ หมอบลง ” ตามเสียงตะโกนของพ่อ ก็เพราะเขาชอบเล่นเกมตำรวจจับผู้ร้ายกับพ่อเป็นประจำ สิ่งที่เขาฟังรู้เรื่องและทำได้ดีที่สุดก็คือการ “ หมอบลง ” ตามที่พ่อตะโกนบอกอยู่บ่อยๆ
และแล้วเขาก็ทำท่า “ หมอบลง ” ได้อย่างตื่นตาตื่นใจคนทั้งประเทศเยอรมัน
ในขณะที่ลูกถูกปลูกฝังให้ใช้สัญชาตญาณด้วยการหมอบลงเป็นประจำ คนเป็นพ่อก็ปลูกฝังนิสัยตัวเองให้รับผิดชอบต่อหน้าที่ ในการสับรางรถไฟเพื่อให้รถไฟหลีกทางให้แก่กันอย่างปลอดภัย
การตัดสินใจของพ่อและลูก จึงมาจากสิ่งที่ฝังอยู่ เป็นสัญชาตญาณและจำหลักเป็นนิสัยกลายเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เหมาะเจาะกับสถานการณ์อย่างน่าตื่นเต้นที่สุด
ติดตามงานเขียนได้ที่ Facebook Page : PRASARN MARUKPITAK