นักฝึกอบรมอย่างผู้เขียนชอบใช้เครื่องทุ่นแรง ที่มักจะมีผลทรงอานุภาพมากกว่าการบรรยาย (Lecture) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเสียมากกว่า
เครื่องมืออย่างหนึ่งคือเปิดคลิพวิดีโอหนังสั้น
หนังเรื่องหนึ่งความยาว 11 นาที เป็นหนังจีนที่สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานของเรื่องจริง ฉายภาพรถประจำทางที่เป็นรถโดยสารระหว่างเมือง มีสาวหน้าตาดูดีเป็นโชเฟอร์ หนังแพนกล้องให้เห็นผู้โดยสารผู้ใหญ่ชายหญิงวัยกลางคนนั่งในรถราว 15 คน
หนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งโบกรถขอขึ้นโดยสาร เจ้าหนุ่มทักทายโชเฟอร์แล้วไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ รถแล่นไปอีกสักพัก มีชายสองคนโบกรถ พอขึ้นมาบนรถ คนหนึ่งควักมีดออกมาจ่อพร้อมส่งเสียงดังให้ทุกคนในรถควักเงินใส่กระเป๋าที่ชายอีกคนหนึ่งเดินถือกระเป๋ารับเงินของผู้โดยสารทีละคน ผู้โดยสารชราคนหนึ่งอิดเอี้อน ตัวลูกพี่ที่ถือมีดตรงรี่เข้าไปตบปากแล้วชกหน้าจนเลือดกลบปากเป็นการสั่งสอนที่บังอาจขัดขืน และแล้วชายชราคนนั้นจำต้องควักเงินใส่กระเป๋าให้คนร้าย
พอได้เงินจากผู้โดยสารทุกคนแล้ว คนร้ายรีบลงจากรถ แต่ตัวลูกพี่เห็นโชเฟอร์หน้าตาดี เกิดตัณหา จึงฉุดกระชากเธอลงจากรถ โชเฟอร์แข็งขืนก็โดนตบแล้วถูกฉุดลากไปที่หลังกอหญ้าที่ห่างออกไป ผู้ร้ายอีกคนถือมีดคอยระวังหลัง
หนุ่มหน้ามนคนนั้นทนไม่ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปที่บันไดรถ หันมามอง ผู้โดยสารทั้งหมด แล้วพูดขึ้นว่า
“ ทำไมนั่งเงียบกันไปหมด ”
ชายหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงไปหวังจะช่วยโชเฟอร์สาว เมื่อเข้าปะทะกัน ก็ถูกคนร้ายเอามีดปาดที่หัวเข่าเลือดไหลอาบทรุดอยู่ตรงข้างทาง ขณะที่ลูกพี่อีกคนกำลังข่มขืนโชเฟอร์สาวอยู่ที่หลังกอหญ้า โดยกล้องฉายภาพให้เห็นว่าผู้โดยสารบนรถลุกขึ้นชะโงกดูเหตุการณ์อยู่บนรถนั้นเอง พอเสร็จกิจ คนร้ายทั้งสองหิ้วกระเป๋าเดินหายเข้าไปในป่ารก
โชเฟอร์สาวลุกขึ้นยืนใส่กางเกงให้เข้าที่ เดินโซเซผ่านเจ้าหนุ่มที่นั่งกุมบาดแผลอย่างไม่ไยดีอะไร เธอขึ้นมาบนรถ กวาดสายตามองไปที่ผู้โดยสารทั้งหมดด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วเข้าไปนั่งที่นั่งตนเอง ซบหน้าลง แล้วเงยขึ้นมองเห็นตุ๊กตาหมาหน้ารถที่ผงกหัวให้
ขณะที่จะเข้าเกียร์เตรียมออกรถ เจ้าหนุ่มที่บาดเจ็บเดินมาตรงหน้าบันไดรถแล้วพูดขึ้นว่า
“ คุณเป็นอะไรไหม ผมขอโทษด้วยที่ช่วยคุณไม่ได้ ”
“ ออกไป ฉันบอกให้ออกไป ” โชเฟอร์พูดเสียงดัง แล้วกดปุ่มปิดประตูรถใส่หน้าหนุ่มคนนั้น
“ ทำไมล่ะ ผมเป็นคนเดียวนะที่พยายามจะช่วยคุณ ” เจ้าหนุ่มส่งเสียงบอก
โชเฟอร์สาวไม่ฟัง หยิบกระเป๋าหิ้วของเจ้าหนุ่มโยนออกมาทางหน้าต่างให้หนุ่มคนนั้น แล้วเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งบึ่งรถออกไป ทิ้งให้หนุ่มคนนั้นยืนเศร้าและงุนงงอยู่ตรงนั้น
เมื่อฉายคลิพหนังถึงตรงนี้ ผมจะหยุดภาพชั่วคราว แล้วถามผู้เรียนว่า
“ ฉากต่อไปคืออะไร ใครอาสาตอบได้บ้าง”
ผู้เรียนในห้องมีคำตอบต่างๆกัน
“ โชเฟอร์คงมีแผนอะไรในใจ ”
“ น่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายกับผู้โดยสารทั้งคันรถ ”
“ โชเฟอร์ต้องการไว้ชีวิตหนุ่มคนนั้น”
เมื่อเปิดคลิพหนังต่อไป ได้พบว่าหนุ่มคนนั้นโบกรถจี๊บอีกคันหนึ่งขอโดยสารไปด้วย สักครู่มีรถตำรวจสีขาวแซงหน้าขึ้นไป พอไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุที่รถตำรวจจอดอยู่ รถจี๊บหยุดดูเหตุการณ์ หนุ่มคนนั้น
เดินลงมาจากรถเห็นตำรวจซึ่งลงไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เดินขึ้นมาแล้วรายงานกับหัวหน้าเสียงดังฟังชัดว่า
“ ยืนยันได้ว่า รถโดยสาร สาย 44 ตกเหว ผู้โดยสารทั้งคันรถรวมทั้งโชเฟอร์ เสียชีวิตทั้งหมด ”
กล้องฉายภาพใบหน้าหนุ่มคนนั้น มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น แสดงความเข้าใจในเหตุการณ์ว่า โชเฟอร์พาผู้โดยสารทั้งคันรถรวมทั้งตัวเธอไปจบชีวิตพร้อมๆกัน ณ จุดเกิดเหตุ
ฉากระทึกใจตั้งแต่ต้นจนจบ ในฐานะวิทยากร จึงตั้งคำถามกว้างๆว่า
“ คุณคิดอย่างไร กับผู้โดยสารทั้งคันรถที่วางเฉย
คุณคิดอย่างไรกับหนุ่มคนนั้น
คุณคิดอย่างไรกับการตัดสินใจของโชเฟอร์ที่ตัดสินใจเช่นนั้น ”
คำตอบจากผู้เรียน ได้มุมที่ตรงกันว่า ผู้โดยสารทั้งคันรถแล้งน้ำใจ และขี้ขลาด กลัวคนเพียง 2 คนที่มีมีดเล็กๆเพียงด้ามเดียว หากใครคนใดคนหนึ่งตัดสินใจ ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาในรถว่า
“ เฮ้ย ! พวกเรามากกว่า รุมกระทืบมันเดี๋ยวนี้ ”
แล้วคว้ากระเป๋าหรืออุปกรณ์อะไรอื่น ที่อยู่ใกล้มือเข้าไปรุมตีรุมต่อย ก็น่าจะเอาอยู่ได้ หรือแม้แต่จังหวะที่ผู้ร้ายลากโชเฟอร์ไป หากทุกคนพากันลงไปช่วยด้วยการคว้าก้อนอิฐ คว้าไม้ คว้าอะไรแทนอาวุธไปไล่ตีแบบ 15 รุม 2 อย่างนี้ เจ้าสองคนร้ายจะเหลืออะไร แต่เมื่อทุกคนวางเฉยจึงเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น
ในฐานะวิทยากร จึงสรุปให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่า จำนวนคนที่มากกว่า ใช่ว่าจะได้รับชัยชนะเสมอไป ถ้าทุกคนขลาดกลัว ไม่กล้าลงมือทำ ไม่มีคนตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผลที่พึงปรารถนาก็เกิดขึ้นไม่ได้
ความกล้าหาญในการตัดสินใจลงมือกระทำในสิ่งที่ควรทำ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดผล
ติดตามงานเขียนได้ที่ FACEBOOK : PRASARN MARUKPITAK