ใครที่ดูภาพยนตร์ เรื่อง ชินด์เลอร์ ลิสต์ เมื่อหลายปีก่อน คงจำความกันได้ว่า ระหว่างสงครามโลกที่พรรคนาซีของฮิตเล่อร์ปฏิบัติการสังหารชาวยิวแบบล้างเผ่าพันธุ์ ที่ตายไปหลายล้านคน เป็นโศกนาฏกรรมของโลก
นักธุรกิจผู้มีนามว่าชินด์เลอร์ ได้ตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ป้อนให้กองทัพนาซีของเยอรมัน โดยชินด์เลอร์ ขอซื้อตัวชาวยิวจำนวนนับพันมาเป็นคนงานในโรงงานเพื่อเป็นแรงงานในการผลิตสินค้า แต่แล้วสินค้าที่ผลิตจากโรงงานของชินด์เลอร์ เป็นสินค้าที่ใช้การไม่ได้ ในที่สุดธุรกิจของโรงงานนี้เจ๊ง ทั้งๆ ที่ธุรกิจขาดทุนย่อยยับ แต่ชื่อของชินด์เลอร์ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของโลกในฐานะผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง จนประวัติศาสตร์หน้านี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มีคนดูทั่วโลก
ภาพที่ติดตราตรึงใจคนดูหนังมากคือ ฉากเกือบสุดท้ายของภาพยนตร์ที่ชินด์เลอร์มองดูชาวยิวที่เขาช่วยให้รอดจากการสังหารหมู่ของนาซี
ขณะที่เขามองดูคนงานชาวยิวที่รอดตายเพราะเขา แล้วเขาตรงรี่ไปลูบคลำรถยนต์คันงามของเขาด้วยมือไม้ที่สั่นเทาด้วยความรู้สึกเสียดายโอกาสพลางพูดว่า
“ถ้าผมใช้รถยนต์คันนี้ติดสินบนนายทหารนาซี ผมคงจะช่วยชาวยิวได้อีก 4-5 คน”
ชินด์เลอร์เอามือแตะเข็มกลัดรูปเครื่องหมายสวัสดิกะที่อยู่บนปกเสื้อ ซึ่งเขาใช้ติดตลอดเวลาในขณะที่นาซีเรืองอำนาจ ชินด์เลอร์น้ำตาไหลอาบแก้ม แล้วพูดขึ้นว่า
“เข็มกลัดนี้ทำด้วยทองคำและเพชร มันมีค่ามากพอที่จะช่วยชีวิตชาวยิวได้อีกหนึ่งหรือสองคน”
ชินด์เลอร์ร้องไห้เสียดายโอกาส มันเป็นโอกาสที่เขาควรจะทำได้ แต่เขาพลาดโอกาสที่จะทำ
เห็นหรือไม่ว่าหัวใจอันสูงส่งด้วยมนุษยธรรมนั้น งดงามเพียงไร ทั้งๆ ที่ชินด์เลอร์ สามารถช่วยคนยิวให้รอดตายมานับพันคนแล้ว แต่ก็ยังตำหนิตนเองที่หวงสมบัติเล็กน้อย ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนยิวได้อีก 6-7 คน
สิ่งที่เรียกว่า “มนุษยธรรม” นั้น เป็นสิ่งที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ