28 ปีมานี้ ผู้เขียนไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเหตุป่วยไข้ใดๆ ยกเว้นไปทำฟัน ไปตรวจสุขภาพ ไปเยี่ยมญาติ และไปบรรยาย
ต้องบอกว่าเป็นเพราะ การควบคุมตัวเองให้มีวินัยในการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่าง
- ว่ายน้ำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก เป็นเวลา 45 นาที หรือ
- เดินเร็ว 1 ชั่วโมง ได้ระยะทาง 4.5 กม.
- แกว่งแขนรวดเดียว 2,000 ครั้ง ราว 50 นาที
อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ทำได้ทุกวัน แถมทำท่าโยคะศีรษะอาสนะ (Head Stand) คือเอาหัวยืนต่างเท้า เอาเท้าชี้ฟ้าหรือชี้เพดาน ครั้งละ 7 นาที ซึ่งเมื่อเอาตัวลงทีไรก็รู้สึกได้ทันทีว่าทุกอนูของร่างกายได้ออกกำลัง เลือดสูบฉีดแรงไปทั่วร่างอย่างฉับพลัน
นอกเหนือจากคุณูปการนานาของการออกกำลังกายที่หมอและตำราระบุไว้แล้ว ผู้เขียนได้ประสบการณ์ตรง ที่น่าสนใจว่า
- ธรรมดาเราจะรู้สึกปิติ รู้สึกสบายในขณะที่เหงื่อออก นั่นแปลว่าสารเอ็นดอร์ฟิน(สารแห่งความปิติ)หลั่งออกมาในสมองและกระแสเลือดแล้ว แต่ผู้เขียนพบว่าเพียงแต่คิดว่าอีก 5 นาทีจะไปว่ายน้ำ ทั้งๆที่เหงื่อยังไม่ทันออก เราก็รู้สึกปิติแล้ว นั่นหมายถึงว่าความคิดที่จะออกกำลังกายไปเร้าต่อมแห่งสุขภาพที่เข้มแข็งให้เริ่มทำงาน สารแห่งความปิติเกิดขึ้นทันทีส่งทอดต่อเนื่องไปถึงจังหวะที่เหงื่อออก
- ขณะเดินเร็วหรือว่ายน้ำก็ตาม เราพ้นไปจากหน้าจอไฟฟ้า(สมาร์ทโฟน)ทั้งหลายที่แย่งเวลาของเรา แต่ละวันไปวันละหลายชั่วโมง ณ เวลานั้น เราได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ จะสวดมนต์ จะทบทวนพฤติกรรมตัวเอง จะอโหสิกรรมให้คนอื่น จะคิดพลอตบทความ จะเขียนบทกลอน จะกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำได้ทั้งนั้น ทำได้อย่างอิสระ หลายครั้งที่ผู้เขียนได้ผลงานเขียนจากช่วงนี้
- หลังการออกกำลังกาย เรารู้สึกปิติต่อเนื่องได้อีกพักใหญ่ ในเวลานั้น ร่างกายจะบอกกับเราว่าฉันแข็งแรงขึ้น ฉันมั่นคงขึ้น ฉันอายุยืนยาวมากขึ้น ฉันหลีกจากโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น เป็นความรู้สึกที่ดีงามเสียนี่กระไร รู้สึกอย่างนี้ได้ทุกวัน
- หลังออกกำลังกาย ทิ้งช่วงเล็กน้อย แล้วกินอาหาร ได้พบว่า ไม่ว่ากินอะไร ก็รู้สึกอร่อยลิ้นไปหมดกินข้าวคลุกน้ำปลายังอร่อยเลย ใครที่ออกกำลังกายเคยสังเกตหรือเปล่าว่า กินข้าวอร่อยขึ้น นี่เป็นแง่มุม บางอย่างที่อาจจะไม่ได้ยินใครพูดถึง แต่เป็นประสบการณ์ตรงที่รู้สึกได้ สัมผัสได้
เพียงเท่านี้ก็ย้ำเตือนตัวเองได้แล้วว่าอย่าทิ้งช่วงการออกกำลังกายเป็นอันขาด
ติดตามงานเขียนได้ที่ Facebook : Prasarn Marukpitak